รัฐบาลวอชิงตัน “เปลี่ยนท่าทีครั้งสำคัญ” ต่ออิหร่าน ด้วยการกล่าวว่า “พร้อมเจรจา” กับอีกฝ่าย เพื่อรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ว่านายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี ระหว่างการประชุมทางไกล ร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศของสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี ว่ารัฐบาลวอชิงตันพร้อมเจรจากับอิหร่าน เกี่ยวกับการที่ทั้งสองประเทศจะกลับเข้าร่วมข้อตกลงนิวเคลียร์ ฉบับปี 2558
 
แม้ยังไม่มีการเปิดเผยท่าทีชัดเจนมากนัก แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐถือเป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีครั้งสำคัญ จากนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้วสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนำรัฐบาลวอชิงตันถอนตัวออกจากข้อตกลงฉบับนี้ เมื่อเดือน พ.ค. 2561 แล้วกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวต่ออิหร่านนับจากนั้น  ขณะที่แหล่งข่าวในรัฐบาลวอชิงตันชุดปัจจุบันกล่าวว่า ได้แจ้งให้อิสราเอล “ทราบล่วงหน้า” แล้ว
 
ด้านนายโมฮัมหมัด จาวาด ซารีฟ รมว.การต่างประเทศอิหร่าน กล่าวถึงท่าทีล่าสุดของสหรัฐเพียงว่า แทนที่รัฐบาลวอชิงตันจะเอาแต่กดดัน และสร้างเงื่อนไขซับซ้อนให้กับรัฐบาลเตหะรานเพียงฝ่ายเดียว รัฐบาลวอชิงตันและพันธมิตรในยุโรปต้องยึดมั่นตามแนวทางปฏิบัติของข้อตกลง และรัฐบาลวอชิงตันชุดปัจจุบันของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องยุตินโยบาย “ก่อการร้ายทางเศรษฐกิจ” ต่ออิหร่าน

ทั้งนี้ การแถลงของบลิงเคนเกิดขึ้นหลังไบเดนสนทนาทางโทรศัพท์กับนายรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยผู้นำสหรัฐและผู้นำอิสราเอล เห็นพ้อง “ความจำเป็นอย่างยิ่ง” ในการหารือกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เกี่ยวกับสถานการณ์ในอิหร่าน

อนึ่ง รัฐสภาของอิหร่านผ่านกฎหมาย เมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ให้เวลาสหรัฐถึงวันที่ 21 ก.พ.นี้ ในการยกเลิก หรือ “อย่างน้อยที่สุด” คือต้องผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน